ปอแนใต้ปอเนาะ: ชาติพันธุ์วรรณาย้อนมองดูตัวเองของ "เควียร์มุสลิม" และความทรงจำวัยเด็กในโรงเรียนสอนศาสนา
รหัสดีโอไอ
Creator สมัคร์ กอเซ็ม
Title ปอแนใต้ปอเนาะ: ชาติพันธุ์วรรณาย้อนมองดูตัวเองของ "เควียร์มุสลิม" และความทรงจำวัยเด็กในโรงเรียนสอนศาสนา
Publisher คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Publication Year 2560
Journal Title วารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์
Journal Vol. 4
Journal No. 1
Page no. 160-206
Keyword เควียร์, โบรมานซ์, เกย์มุสลิม, ความทรงจำ, ชาติพันธุ์วรรณาแนวมองย้อนดูตัวเอง
URL Website https://so05.tci-thaijo.org/index.php/thammasat_history
Website title วารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ISSN 2672-9903
Abstract งานศึกษานี้ต้องการเริ่มต้นบทสนทนาเกี่ยวกับประเด็นเรื่องรักร่วมเพศในศาสนาอิสลามผ่านเส้นแบ่งทางเพศที่ปรากฏชัดในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามผ่านความคิดว่าด้วย"ความเป็นพี่น้อง" กันในอิสลามซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกันโดยยังคงนิยามตัวเองในหลากหลายลักษณะเช่นชายแท้เกย์และกะเทยของวัยรุ่นชายมุสลิมเพราะการสัมผัสกายของผู้ชายด้วยกันเองทำให้เกิดความรู้สึกสบายใจระหว่างกันเพราะศาสนาบัญญัติห้ามไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามและช่วยหันเหความรู้สึกผิดบาปของตนต่อความคิดทางศาสนาพวกเขาจึงตีความหลักการทางศาสนาที่เกี่ยวกับเรื่องร่างกายและเพศวิถีใหม่เพื่อรองรับแรงปราถนาทางเพศของตัวเอง บทความนี้จึงสะท้อนความพร่าเลือนการนิยามความสัมพันธ์แบบชายกับชายในโรงเรียนที่ศาสนามีบทบาทและอิทธิพลต่อการกำหนดความสัมพันธ์ทางสังคมและทางเพศ วัฒนธรรมรุ่นพี่รุ่นน้องที่เอื้อให้เพศวิถีลื่นไหลและนิยามไปหลายรูปแบบ งานศึกษานี้ใช้วิธีวิทยาแบบชาติพันธุ์วรรณาเชิงสะท้อนย้อนคิดจากประวัติชีวิตของตัวผู้ศึกษาเอง งานชิ้นนี้จึงมีส่วนสำคัญต่อการรื้อฟื้นเอาความทรงจำทางเพศขึ้นมาเพื่อตอบคำถามประเด็นเรื่อง"รักร่วมเพศในศาสนาอิสลาม" การตีตราบาปการสำนึกผิดการกดทับอารมณ์ความใคร่และการสูญเสียตัวตนจากการถูกนิยามทางศาสนาโดยเฉพาะเรื่องร่างกายและเพศสภาพ โดยเฉพาะวิธีการที่ศาสนาเข้ามาจัดการกับร่างกายและเพศสภาพจากการตีความจากตัวบทหลักการทั้งจากในคัมภีร์และคำสอนอิสลามร่างกายกับเพศสภาพที่ถูกสร้างบรรทัดฐานท้ายที่สุดกลายเป็นเพียง"พวกผิดเพศที่ถูกสาปแช่ง" และการถูกผลิตซ้ำด้วยความคิดขั้วตรงข้ามจากวาทกรรมทางศาสนาว่าด้วยร่างกายบทความใช้แนวคิดหลักเรื่อง "homosociality" พยายามสะท้อนการทำงานเชิงโครงสร้างของศาสนาที่มีต่อเพศวิถีและร่างกายการใช้คำอธิบายที่ตีความเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศของผู้ปฏิบัติการการเปิดเสียงให้เล่าเรื่องที่สังคมมุสลิมมักไม่ยอมรับว่าเกิดขึ้น มีตัวตนและถูกทำให้เป็นความพร่าเลือนเมื่อเอ่ยถึงเพศที่สามในบริบทของศาสนาอิสลามและต้องการเสนอถึงความลักลั่นยอกย้อนของความคิดรากฐานนิยมอิสลามต่อเรื่องเพศสภาพในปัจจุบัน
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

บรรณานุกรม

EndNote

APA

Chicago

MLA

ดิจิตอลไฟล์

Digital File
DOI Smart-Search
สวัสดีค่ะ ยินดีให้บริการสอบถาม และสืบค้นข้อมูลตัวระบุวัตถุดิจิทัล (ดีโอไอ) สำนักการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ค่ะ