![]() |
การพัฒนารูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชนเพื่อป้องกันการติดโรคพยาธิ ใบไม้ตับ ในจังหวัดบึงกาฬ |
---|---|
รหัสดีโอไอ | |
Creator | หทัยกาญจน์ ยางศรี |
Title | การพัฒนารูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชนเพื่อป้องกันการติดโรคพยาธิ ใบไม้ตับ ในจังหวัดบึงกาฬ |
Contributor | ประภาเพ็ญ สุวรรณ, สุรีย์ จันทรโมลี |
Publisher | กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค |
Publication Year | 2564 |
Journal Title | วารสารควบคุมโรค |
Journal Vol. | 47 |
Journal No. | เพิ่มเติมที่ 1 |
Page no. | 848-858 |
Keyword | รูปแบบชุมชนรอบรู้สุขภาพ, ความรอบรู้สุขภาพ, โรคพยาธิใบไม้ตับ |
URL Website | https://www.tci-thaijo.org/index.php/DCJ |
Website title | เว็บไซต์วารสารควบคุมโรค |
ISSN | 2651-1649 |
Abstract | โรคพยาธิใบไม้ตับเป็นปัญหาด้านสุขภาพมายาวนานผู้ที่ติดโรคพยาธิใบไม้ตับยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งท่อน้ำดีตามมา และมีโอกาสเสียชีวิตได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นปัจจัยที่สำคัญในการป้องกันการติดโรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งจะต้องอาศัยทฤษฎีหลักการสร้างความรอบรู้สุขภาพเพื่อให้เกิดความรอบรู้โรคพยาธิใบไม้ตับอันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการติดโรคพยาธิใบไม้ตับ วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ เพื่อพัฒนารูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชนเพื่อป้องกันการติดโรคพยาธิใบไม้ตับในจังหวัดบึงกาฬ มีกระบวนการศึกษาวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 วินิจฉัยชุมชน ศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง 250 คน ระยะที่ 2 ยกร่างและพัฒนาประสิทธิภาพรูปแบบชุมชนรอบรู้โรคพยาธิใบไม้ตับ โดยภาคีเครือข่ายสุขภาพผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 13 คน ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชน เรื่อง โรคพยาธิใบไม้ตับที่พัฒนาขึ้น ในกลุ่มทดลอง จำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 40 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ เรื่อง โรคพยาธิใบไม้ตับ จำนวน 3 ครั้ง คือก่อนทดลอง หลังทดลอง และระยะติดตามหลังทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมแบบวัดซ้ำ (Repeated Measures ANCOVA) และติดตามประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรูปแบบ ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพ เรื่อง โรคพยาธิใบไม้ตับที่สร้างและพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมแบบวัดซ้ำของความรอบรู้ด้านสุขภาพ เรื่อง โรคพยาธิใบไม้ตับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมแบบวัดซ้ำให้ผลว่า ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มศึกษากับการวัดก่อนทดลองมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) ส่วนระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มเปรียบเทียบทั้งหลังทดลองและติดตามผล พบว่า ทักษะความรอบรู้ด้านสุขภาพ เรื่อง โรคพยาธิใบไม้ตับในกลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบทุกทักษะ สรุปได้ว่า รูปแบบความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชนเพื่อป้องกันการติดโรคพยาธิใบไม้ตับที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทำให้ทักษะความรอบรู้ เรื่อง โรคพยาธิใบไม้ตับของประชาชนดีขึ้น อันจะนำไปสู่การป้องกันการติดโรคพยาธิใบไม้ตับของประชาชนในจังหวัดบึงกาฬ |