|
การศึกษาอิทธิพลของแนวคิดความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (work-life balance) ที่ส่งผลต่อความความต้องการคงอยู่ในงาน: กรณีศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม |
|---|---|
| รหัสดีโอไอ | |
| Title | การศึกษาอิทธิพลของแนวคิดความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (work-life balance) ที่ส่งผลต่อความความต้องการคงอยู่ในงาน: กรณีศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม |
| Creator | ธัญธร ญาณพิสิฐกุล |
| Contributor | u0e2au0e38u0e19u0e34u0e2au0e32 u0e0au0e48u0e2du0e41u0e01u0e49u0e27, u0e17u0e35u0e48u0e1bu0e23u0e36u0e01u0e29u0e32 |
| Publisher | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
| Publication Year | 2567 |
| Keyword | ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน, ความต้องการคงอยู่ในงาน, การลาออกจากงาน, Work-life balance, Job retention, Intention to leave |
| Abstract | "การศึกษาอิทธิพลของแนวคิดความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (work-life balance) ที่ส่งผลต่อความความต้องการคงอยู่ในงาน กรณีศึกษา : สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม" ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลของแนวคิดความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (work life balance) ที่มีต่อความต้องการคงอยู่ในงานของบุคลากรในสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมและเพื่อ 2) เสนอเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะ ในการส่งเสริมการสร้างสมดุลระหว่างชีวิต และการทำงานของบุคลากรในสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมให้สามารถบริหารอัตรากำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน กลุ่มตัวอย่างกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยนี้ คือ ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม จำนวน 180 คน และมีรูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods research) โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณที่ใช้แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูล ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์สถิติพื้นฐาน ได้แก่การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร่วมกับ การวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติการวิเคราะห์ แบบเพียร์สัน (Pearson's Product Moment Correlation Coefficient) และสถิติการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ (α) คือ 0.05 ควบคู่ไปกับวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างจำนวน 6 คน ในรูปแบบแบบกึ่งทางการ ผลการศึกษาพบว่า (1) ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม มีระดับความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานในภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย (2) ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม มีระดับความต้องการคงอยู่ในงานในภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย (3) ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือน (B = −0.174, β = −0.374, p < 0.05) และจำนวนบุตรในอุปการะ (B = −0.199, β = −0.153, p < 0.05) มีความสัมพันธ์เชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจลาออกจากงาน และ จำนวนบุตรในอุปการะ (B = 0.184, β = 0.204, p = 0.010) มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยยะสำคัญต่อความผูกพันต่อองค์กร (4) ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ด้านการทำงานมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญกับความพึงพอใจในงาน (r = 0.560, p < 0.01) และความผูกพันต่อองค์กร (r = 0.525, p < 0.01) และมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความตั้งใจลาออกจากงาน (r =-0.253, p =0.000) (5) ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ด้านครอบครัว มีความสัมพันธ์ในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญกับความพึงพอใจในงาน (r = 0.384, p < 0.01) และความผูกพันต่อองค์กร (r = 0.379, p < 0.01) และมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความตั้งใจลาออกจากงาน (r = -0.230 p <0.05) (6) ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ด้านเวลา มีความสัมพันธ์ในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญกับความพึงพอใจในงาน (r = 0.451, p < 0.01) และ ความผูกพันต่อองค์กร (r = 0.460, p < 0.01) และมีความสัมพันธ์ในทิศทางลบอย่างมีนัยสำคัญกับความตั้งใจลาออกจากงาน (r = -0.182, p < 0.05) (7) ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ด้านการเงิน มีความสัมพันธ์ในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญกับความพึงพอใจในงาน (r = 0.424, p < 0.01) และความผูกพันต่อองค์กร (r = 0.450, p < 0.01) และมีความสัมพันธ์ในทิศทางลบอย่างมีนัยสำคัญกับความตั้งใจลาออกจากงาน (r = -0.262, p < 0.01) (8) ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ด้านการพัฒนาตนเอง มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความพึงพอใจในงาน (r = 0.627, p < 0.01) และความผูกพันต่อองค์กร (r = 0.545, p < 0.01) แต่มีความสัมพันธ์เชิงลบกับความตั้งใจลาออกจากงาน อย่างไม่มีนับสำคัญทางสถิติ (r = -0.142, p > 0.05) |