![]() |
การศึกษาอิทธิพลของปัจจัยควบคุมการผลิตแบบไดแคสติงต่อข้อบกพร่องของชิ้นงาน |
---|---|
รหัสดีโอไอ | |
Title | การศึกษาอิทธิพลของปัจจัยควบคุมการผลิตแบบไดแคสติงต่อข้อบกพร่องของชิ้นงาน |
Creator | เจริญ สว่างวงศ์ |
Contributor | สมชาย พัวจินดาเนตร |
Publisher | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Publication Year | 2555 |
Keyword | ไดแคสติง, การควบคุมการผลิต, ผลิตภัณฑ์ -- ข้อบกพร่อง, Die-casting, Production control, Manufactures -- Defects |
Abstract | งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยควบคุมกระบวนการฉีดไดแคสติงแรงดันสูงที่มีผลต่อข้อบกพร่องของชิ้นงาน โดยทำการทดลองเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ของค่าพารามิเตอร์ต่างๆกับข้อบกพร่องของชิ้นงาน กำหนดตัวแปรควบคุมที่คงที่ ได้แก่ ชิ้นงานเสื้อสูบรถจักรยานยนต์ ที่ใช้วัสดุอะลูมินัมอัลลอยด์ เกรด ADC12 วัสดุที่ใช้ทำแม่พิมพ์เป็นเหล็กกล้างานร้อน SKD61 อุณหภูมิน้ำหล่อเย็นคงที่ 24 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิของอะลูมิเนียมหลอมเหลวที่ใช้ในการฉีดคงที่ 680 องศาเซลเซียส ตัวแปรอิสระในสามระดับที่ทำการศึกษามีดังนี้ (1) แรงดันฉีด ที่ระดับ 750, 900, และ 1000 บาร์ (2) ความเร็วที่ทางเข้าโพลงชิ้นงาน ที่ระดับ 30, 36 และ 42 เมตรต่อวินาที และ (3) ระยะเวลาการหล่อเย็นที่ 127, 130, และ 133 วินาที ดำเนินการตรวจสอบจำนวนข้อบกพร่องต่อหน่วยของชิ้นงาน ได้แก่ โพรงอากาศ โพรงหดตัว ฉีดไม่เต็มแบบ ผิวพอง ผิวร่อน รอยแตก และขนาดโพรงหดตัว โดยขนาดโพลงหดตัวตรวจสอบด้วยวิธีการฉายรังสีเอ็กซเรย์ จากนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปทำการวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ (Minitab) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของแต่ละปัจจัยที่มีต่อจำนวนข้อบกพร่องของชิ้นงานแต่ละประเภท ผลการทดลอง พบว่า (1) แรงดันฉีด และความเร็วที่ทางเข้าโพลงชิ้นงาน มีผลต่อประเภทและจำนวนข้อบกพร่องต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ และขนาดโพลงหดตัวอย่างนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 (2) แรงดันฉีดยังให้น้ำหนักของผลกระทบต่อข้อบกพร่องประเภทโพรงอากาศ โพรงหดตัว ฉีดไม่เต็มแบบ จำนวนข้อบกพร่องโดยรวมต่อผลิตภัณฑ์ และขนาดโพลงหดตัวสูงที่สุดเท่ากับ 97.6, 92.6, 73.8, 96.1, และ 99.7% ตามลำดับ โดยแรงดันฉีดที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้จำนวนข้อบกพร่องประเภทโพรงอากาศ โพรงหดตัว ฉีดไม่เต็มแบบ จำนวนข้อบกพร่องโดยรวมต่อผลิตภัณฑ์ และขนาดโพลงหดตัวมีแนวโน้มลดลง (3) ความเร็วที่ทางเข้าโพลงชิ้นงานมีน้ำหนักของผลกระทบต่อข้อบกพร่องประเภทผิวพอง ผิวร่อน และรอยแตกมากที่สุด ด้วยค่าเท่ากับ 74.3, 68.8, และ67.1% ตามลำดับ โดยความเร็วที่ทางเข้าโพลงชิ้นงานลดลงจะให้ผลข้อบกพร่องประเภทผิวพอง และรอยแตกลดลง แต่ผิวร่อนกลับสูงขึ้น (4) จากการประยุกต์ใช้แรงดันฉีด 900 บาร์ ความเร็วที่ทางเข้าโพลงชิ้นงาน 30 เมตรต่อวินาที และระยะเวลาการหล่อเย็น 133 วินาที เทียบกับก่อนการปรับปรุงใช้แรงดันฉีด 750 บาร์ ความเร็วที่ทางเข้าโพลงชิ้นงาน 30 เมตรต่อวินาที และระยะเวลาการหล่อเย็น 130 วินาที พบว่าค่าจำนวนข้อบกพร่องต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ลดลงจากเดิม 3.48 เป็น 2.45 ลดลงคิดเป็น 29.6% และอัตราส่วนของเสียลดลงจาก 3.61% เป็น 2.32% ลดลงคิดเป็น 35.7% |
URL Website | cuir.car.chula.ac.th |