ความชุกของภาวะหมดระดูก่อนกำหนดในผู้ป่วยโรคลูปุสที่มีอาการกำเริบของอวัยวะสำคัญและได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิต้านทานในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
รหัสดีโอไอ
Title ความชุกของภาวะหมดระดูก่อนกำหนดในผู้ป่วยโรคลูปุสที่มีอาการกำเริบของอวัยวะสำคัญและได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิต้านทานในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
Creator พรเพ็ญ อัครวัชรางกูร
Contributor มนาธิป โอศิริ, นิมิต เตชไกรชนะ
Publisher จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Publication Year 2553
Keyword เอสแอลอี, เอสแอลอี -- การรักษาด้วยยา, ระดู, ภาวะเจริญพันธุ์, Systemic lupus erythematosus, Menstruation, Fertility
Abstract ที่มา โรคลูปุส (systemic lupus erythematosus) เป็นโรคที่เกิดจากภูมิต่อต้านตนเอง มักจะเกิด กับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ การรักษาอาการกำเริบของอวัยวะสำคัญด้วยยากดภูมิต้านทาน โดยเฉพาะยา กลุ่ม alkylating ทำให้อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นแต่มีผลข้างเคียงต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ป่วย วิธีการศึกษา ศึกษาแบบภาคตัดขวาง ในผู้ป่วยโรคลูปุสอายุ 18 - 40 ปี ที่ได้รับการรักษาด้วย ยากดภูมิต้านทานที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ระหว่าง มกราคม พ.ศ. 2553 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2554 เพื่อศึกษาความชุกของภาวะหมดระดูก่อนกำหนดและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษา จากการศึกษาผู้ป่วยโรคลูปุสจำนวน 92 ราย อายุเฉลี่ย 30 ± 6.9 ปี ระยะเวลาที่ เป็นโรคเฉลี่ย 103 ± 67.5 เดือน มีความชุกของภาวะหมดระดูก่อนกำหนดร้อยละ 12 (11 ราย) ผู้ป่วยที่มี ภาวะหมดระดูก่อนกำหนดมีอายุขณะที่ทำการศึกษามากกว่า ระยะเวลาที่เป็นโรคนานกว่า ค่าการทำงาน ของไตน้อยกว่า การสูญเสียการทำงานของอวัยวะจากการประเมินด้วย SLICC/ACR damage index (SDI) มากกว่าและปริมาณยา cyclophosphamide สะสมโดยเฉลี่ยมากกว่ากลุ่มที่ไม่มีภาวะหมดระดู ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหมดระดูก่อนกำหนดได้แก่ ขนาดยา cyclophosphamide สะสม มากกว่า 10 กรัม สรุปผลการศึกษา ภาวะหมดระดูก่อนกำหนดพบได้ร้อยละ 12 ในผู้ป่วยโรคลูปุสที่มีอาการกำเริบ ของอวัยวะสำคัญ และมีความสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่มีอายุมาก ระยะเวลาที่เป็นโรคนาน และได้รับการรักษา ด้วยยา cyclophosphamide ขนาดสูง
URL Website cuir.car.chula.ac.th
Chulalongkorn University

บรรณานุกรม

EndNote

APA

Chicago

MLA

ดิจิตอลไฟล์

Digital File #1
DOI Smart-Search
สวัสดีค่ะ ยินดีให้บริการสอบถาม และสืบค้นข้อมูลตัวระบุวัตถุดิจิทัล (ดีโอไอ) สำนักการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ค่ะ