![]() |
การศึกษาเชิงวิเคราะห์และเปรียบเทียบอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเด็ก และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 กรณีเด็กอุ้มบุญ |
---|---|
รหัสดีโอไอ | |
Creator | พรนิภา วิเศษสุวรรณ |
Title | การศึกษาเชิงวิเคราะห์และเปรียบเทียบอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเด็ก และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 กรณีเด็กอุ้มบุญ |
Contributor | โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ |
Publisher | สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ |
Publication Year | 2563 |
Journal Title | วารสารการบริหารปกครอง |
Journal Vol. | 9 |
Journal No. | 2 |
Page no. | 409 - 434 |
Keyword | การตั้งครรภ์แทน, เด็กอุ้มบุญ, หลักการคุ้มครองสิทธิเด็ก |
URL Website | https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu |
Website title | วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ |
ISSN | ISSN 2697-4029 (Print) |
Abstract | การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความเป็นมา วัตถุประสงค์ หลักการคุ้มครองเด็กของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 กรณี เด็กอุ้มบุญ เพื่อเสนอแนะเป็นแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายสามารถคุ้มครองสิทธิเด็กเกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์อย่างได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการทบทวนวรรณกรรม มุ่งเน้นศึกษาด้วยการวิจัยเชิงเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างจำนวน 7 ท่าน เป็นผู้ที่มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตั้งครรภ์และการจัดทำกฎหมายของประเทศไทย แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบสรุปพรรณนา ให้รายละเอียด ผลการวิจัยพบว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับเกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กของแต่ละประเทศให้มีมาตรฐาน เทียบเท่าหรือสูงกว่าที่กำหนไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ประเทศไทยได้จัดทำพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิด โดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กอุ้มบุญ โดยใช้หลักความคุ้มครองสิทธิเด็กของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นบรรทัดฐานในการจัดทำ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ตาม มาตรฐาน หลักความคุ้มครองสิทธิเด็กที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯ อีกทั้งเมื่อศึกษาลึกลงไปยังพบว่าพระราชบัญญัติฯ ยังไม่สามารถ ให้ความคุ้มครองสิทธิเด็กอุ้มบุญได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ นอกจากนี้ ยังมีความย้อนแย้งของตัวพระราชบัญญัติในเรื่องการใช้เซลล์สืบพันธุ์ในกระบวนการตั้งครรภ์แทน อีกทั้งการตรวจวินิจฉัยโรคของผู้เกี่ยวข้องที่ยังไม่มีความเข้มงวด สุ่มสี่ยงเกิดปัญหาโรคทางพันธุกรรมหรือโรคที่อาจติดต่อจากแม่อุ้มบุญได้ทำให้เด็กอุ้มบุญอาจถูกท้องทิ้ง ข้อเสนอแนะจากการวิจัย รัฐบาลไทยควรดำเนินการ 1) ปรับปรุงพระราชบัญญัติฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานหลักความคุ้มครองสิทธิเด็กที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและคำนึงถึงสิทธิของเด็กอุ้มบุญที่เกิดจากกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย 2) ไม่ควรใช้เซลล์สืบพันธุ์บริจาคมาใช้ในกระบวนการตั้งครรภ์แทน และเข้มงวดในเรื่องการตรวจวินิจฉัยโรคโดยกำหนดโรคที่ควรต้องตรวจเพิ่มเติมจากการตรวจทั่วไป 3) ควรเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายกับแพทย์ที่ให้บริการและหญิงที่รับตั้งครรภ์ควรให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ |