![]() |
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด 19 ในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่ดเรื้อรัง ในเขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง |
---|---|
รหัสดีโอไอ | |
Creator | สมชาย แพรพิรุณ |
Title | ผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด 19 ในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่ดเรื้อรัง ในเขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง |
Contributor | ฌาน ปัทมะ พลยง, อัมรา บุญสาหร่าย, มริสสา กองสมบัติสุข |
Publisher | กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค |
Publication Year | 2566 |
Journal Title | วารสารควบคุมโรค |
Journal Vol. | 49 |
Journal No. | 1 |
Page no. | 21-35 |
Keyword | ผลลัพธ์ทางคลินิก, โรคไม่ติดต่อ, ก่อนการแพร่ระบาดโควิด 19, ขณะที่มีการแพร่ระบาดโควิด 19, มาบตาพุด |
URL Website | https://www.tci-thaijo.org/index.php/DCJ |
Website title | เว็บไซต์วารสารควบคุมโรค |
ISSN | 2651-1649 |
Abstract | การศึกษาแบบพรรณนาครั้งนี้ เพื่อศึกษาผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด 19 ของผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในเขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งพารามิเตอร์ที่ศึกษาประกอบด้วยดัชนีมวลกาย รอบเอว ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด และการทำงานของไต กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จำนวน 385 คน ได้จากเวชระเบียนโปรแกรม Hosxp ของโรงพยาบาล โดยรวบรวมข้อมูลในปี พ.ศ. 2562-2563 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละของการเปลี่ยนแปลง สำหรับสถิติอนุมานใช้เปรียบเทียบข้อมูลด้วย Paired sample t-test ผลการศึกษา พบผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อัตราส่วน 1.34 ต่อ 1.00 อายุเฉลี่ย 57.9?11.1 ปี ส่วนใหญ่มีการประกอบอาชีพ ร้อยละ 72.7 โดยทำอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 53.5 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนการแพร่ระบาด (พ.ศ. 2562) และช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด 19 (พ.ศ. 2563) พบผู้ป่วยมีค่าไตรกลีเซอไรด์และน้ำตาลในเลือดมีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.76 และ 5.87 ตามลำดับ จากการทดสอบทางสถิติ พบว่า ช่วงที่มีการแพร่ระบาดผู้ป่วยมีความดันโลหิตขณะคลายตัว ระดับน้ำตาลในเลือด แอลดีแอล คอลเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์สูงขึ้นกว่าก่อนการแพร่ระบาดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) อย่างไรก็ตามช่วงที่มีการแพร่ระบาด ผู้ป่วยมีระดับครีอะตินินลดลงกว่าก่อนการแพร่ระบาดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) บทสรุป ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด 19 ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อสถานะทางสุขภาพของ NCDs มากกว่าก่อนการแพร่ระบาด คำแนะนำควรมีโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพที่กระตุ้นความรู้ของผู้ป่วย และระบบติดตามการปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต้องพักอาศัยอยู่ที่บ้าน รวมถึงช่องทางที่สะดวกในการเข้าถึงและสื่อสารข้อมูลด้านสุขภาพที่เหมาะสม |