ผลกระทบของค่าคลาดเคลื่อนชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ต่อประสิทธิภาพจากการรังวัดด้วยดาวเทียมจีพีเอสแบบจลน์ในทันทีโดยอาศัยระบบเครือข่ายสถานีฐานจีพีเอสในประเทศไทย
รหัสดีโอไอ
Title ผลกระทบของค่าคลาดเคลื่อนชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ต่อประสิทธิภาพจากการรังวัดด้วยดาวเทียมจีพีเอสแบบจลน์ในทันทีโดยอาศัยระบบเครือข่ายสถานีฐานจีพีเอสในประเทศไทย
Creator ธีทัต เจริญกาลัญญูตา
Contributor เฉลิมชนม์ สถิระพจน์
Publisher จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Publication Year 2555
Keyword จลนศาสตร์, ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก, ไอโอโนสเฟียร์, Kinematics, Global Positioning System, Ionosphere
Abstract ในปัจจุบัน เทคนิคการรังวัดแบบจลน์ในทันทีโดยอาศัยระบบเครือข่ายสถานีฐานจีพีเอส (Network-Based Real-Time Kinematic; NRTK) กำลังเป็นที่นิยมใช้งานในประเทศไทย โดยเทคนิคการรังวัดดังกล่าวนี้มีข้อดีคือ ใช้เวลาการรังวัดค่อนข้างเร็ว และได้ค่าพิกัดตำแหน่งในทันที แต่เทคนิคการรังวัดฯนี้ ก็มีข้อจำกัดที่ประสิทธิภาพเทคนิคการรังวัดดังกล่าวจะลดลงเมื่อระยะห่างระหว่างสถานีฐานเพิ่มขึ้น โดยน่าจะมีสาเหตุมาจากค่าคลาดเคลื่อนชนิดต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นในระบบเทคนิคการรังวัดดังกล่าว ซึ่งจากงานวิจัยที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ค่าคลาดเคลื่อนชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์คือสาเหตุหลักที่ทำให้ประสิทธิภาพของเทคนิคการรังวัดชนิดนี้ลดลงในวิทยานิพนธ์นี้ ได้ศึกษาถึงการใช้โมเดลชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์แบบทั้งโลก (GIM) และ โมเดลฯ ในพื้นที่ประเทศไทย (THIM) สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพเทคนิคการรังวัดแบบจลน์ในทันทีโดยอาศัยระบบเครือข่ายสถานีฐานจีพีเอสในระยะห่างระหว่างสถานีฐานขนาดต่างๆ ได้แก่ ขนาด 10-20, 30-50, 50-60 และ 60-80 กิโลเมตร โดยโมเดล GIM และ THIM นั้นได้จากการประมวลผลด้วยซอฟต์แวร์ Bernese 5.0 ทั้งนี้ในการศึกษาดังกล่าว ใช้ข้อมูลการรับสัญญาณดาวเทียมจีพีเอสที่ต่อเนื่องกันจำนวน 31 วัน จากสถานีฐานจีพีเอสในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล การประเมินประสิทธิภาพของเทคนิคการรังวัดดังกล่าวนี้ ทำได้โดยการวิเคราะห์ผลในสามรูปแบบคือ อัตราของผลสำเร็จจากการหาค่าเลขปริศนา จำนวนของค่าพิกัดกระโดดขนาดใหญ่ และค่า Root Mean Square Error (RMSE) ของตำแหน่ง ผลการประมวลผลชี้ให้เห็นว่า อัตราของผลสำเร็จจากการหาค่าเลขปริศนาของระยะระหว่างสถานีฐานขนาดกลางเพิ่มขึ้น มากกว่า 9 % และ 16 % เมื่อใช้โมเดล GIM และ THIM ในการประมวลผลร่วมด้วย ตามลำดับ ในขณะที่ค่าพิกัดกระโดดขนาดใหญ่ และค่า RMSE ของระยะห่างระหว่างสถานีฐานทุกขนาดไม่มีนัยสำคัญที่แตกต่างกัน สำหรับการใช้โมเดลทั้งสองดังกล่าว ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การใช้โมเดล THIM ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเทคนิคการรังวัดนี้ในประเทศไทยได้มากกว่า การใช้โมเดล GIM โดยเฉพาะในระยะห่างระหว่างสถานีฐานขนาดกลาง
URL Website cuir.car.chula.ac.th
Chulalongkorn University

บรรณานุกรม

EndNote

APA

Chicago

MLA

ดิจิตอลไฟล์

Digital File #1
DOI Smart-Search
สวัสดีค่ะ ยินดีให้บริการสอบถาม และสืบค้นข้อมูลตัวระบุวัตถุดิจิทัล (ดีโอไอ) สำนักการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ค่ะ