![]() |
การรับการกลมกลืนฐานกรณ์เสียงพยัญชนะท้ายนาสิกตามเสียงที่ตามมาในภาษาญี่ปุ่นของผู้เรียนคนไทย : การศึกษาตามแนวทฤษฎีอุตมผล |
---|---|
รหัสดีโอไอ | |
Title | การรับการกลมกลืนฐานกรณ์เสียงพยัญชนะท้ายนาสิกตามเสียงที่ตามมาในภาษาญี่ปุ่นของผู้เรียนคนไทย : การศึกษาตามแนวทฤษฎีอุตมผล |
Creator | ธนศักดิ์ ศิริคะเณรัตน์ |
Contributor | พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ |
Publisher | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Publication Year | 2555 |
Keyword | การรับภาษา, ทฤษฎีอุตมผล (ภาษาศาสตร์), ภาษาญี่ปุ่น -- การออกเสียง, ภาษาญี่ปุ่น -- การกลมกลืน, ภาษาระหว่างกลาง, Language acquisition, Optimality theory (Linguistics), Japanese language -- Pronunciation, Japanese language -- Assimilation, Interlanguage (Language learning) |
Abstract | ศึกษาการรับการกลมกลืนเสียงพยัญชนะท้ายนาสิกตามเสียงที่ตามมาในภาษาญี่ปุ่นของผู้เรียนคนไทยโดยใช้ทฤษฎีอุตมผล (Optimality theory) เป็นกรอบในการวิเคราะห์ข้อมูลการออกเสียงจากการทดลอง โดยมีสมมติฐานว่า พฤติกรรมการออกเสียงของผู้เรียนคนไทยจะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงของพัฒนาการทางระบบเสียง และความแตกต่างดังกล่าวเกิดจากการเรียงลำดับข้อบังคับ (constraint ranking) ที่แตกต่างกัน ผลจากการวิเคราะห์พบว่า การออกเสียงของผู้เข้าร่วมการทดลองสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่หนึ่ง ออกเสียง /N/ เป็นเสียง [n] ทุกคำ กลุ่มที่สอง ออกเสียง /N/ เป็นเสียง [n] หรือ [ŋ] เท่านั้น และกลุ่มที่สาม ออกเสียง /N/ เป็นทั้ง 3 เสียง ได้แก่เสียง [m], [n] และ [ŋ] ผลจากการทดลองพบว่า ไม่มีผู้เข้าร่วมการทดลองคนใดเลยที่ออกเสียง /N/ เป็นเสียง [m] เมื่อมีเสียงปุ่มเหงือกหรือเสียงเพดานอ่อนตามมา จากการวิเคราะห์การเรียงลำดับข้อบังคับพบว่า มีเพียงกลุ่มที่สามเท่านั้นที่มีการกลมกลืนเสียง ในขณะที่การออกเสียงของผู้เข้าร่วมการทดลองในกลุ่มที่หนึ่ง เกิดจากการเรียงลำดับข้อบังคับแบบภาษาไทย คือให้ความสำคัญข้อบังคับความเหมือน (faithfulness constraint) มากที่สุด และการออกเสียงของผู้เข้าร่วมการทดลองในกลุ่มที่สอง เกิดจากการเรียงลำดับข้อบังคับลักษณะแปลกเด่น (markedness constraint) ของฐานกรณ์ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์การเรียงลำดับข้อบังคับ ยังทำให้สามารถสรุปพัฒนาการของการรับการกลมกลืนเสียงของผู้เข้าร่วมการทดลองในแต่ละกลุ่มได้ว่า กลุ่มที่หนึ่งอยู่ในช่วงแรกของพัฒนาการ กลุ่มที่สองอยู่ในช่วงกลางของพัฒนาการ และกลุ่มที่สามเป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการมากที่สุด พฤติกรรมการออกเสียงของผู้เรียนคนไทยแตกต่างกันไปตามพัฒนาการการรับระบบเสียงในแต่ละช่วง และความแตกต่างดังกล่าวเกิดจากการเรียงลำดับข้อบังคับที่ต่างกันดังที่ตั้งสมมติฐานไว้ |
URL Website | cuir.car.chula.ac.th |