การกำจัดแบคทีเรียในอากาศด้วยแผ่นฟอกอากาศโฟโตคะตะไลติก
รหัสดีโอไอ
Title การกำจัดแบคทีเรียในอากาศด้วยแผ่นฟอกอากาศโฟโตคะตะไลติก
Creator พรรณิกา วนะรมย์
Contributor วงศ์พันธ์ ลิมปเสนีย์, วิบูลย์ลักษณ์ พึ่งรัศมี
Publisher จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Publication Year 2555
Keyword คุณภาพอากาศภายในอาคาร, มลพิษทางอากาศ, การเร่งปฏิกิริยาด้วยแสง, Indoor air quality, Air -- Pollution, Photocatalysis
Abstract ศึกษาประสิทธิภาพของแผ่นฟอกอากาศโฟโตคะตะไลติกในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียในอากาศ โดยทดลองในห้องทดลองจำลองขนาด 1 ลูกบาศก์เมตร (1,000 ลิตร) ในสภาวะที่ควบคุมอุณหภูมิคงที่ 25 ± 2 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 60 ± 5 ด้วยเชื้อแบคทีเรีย 2 สายพันธุ์ คือ Bacillus subtilis และ Staphylococcus epidermidis ในการทดลองใช้แผ่นฟอกอากาศโฟโตคะตะไลติกขนาด 0.23 ตารางเมตร ช่วงเวลาทำปฏิกิริยา 120 นาที และใช้แหล่งกำเนิดแสง 2 ประเภทที่มีความเข้มแสงแตกต่างกัน ได้แก่ หลอดฟลูออเรสเซนต์ความเข้มแสง 1.0 3.0 และ 3.7 ไมโครวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร และหลอดแบล็คไลท์ความเข้มแสง 70 220 และ 270 ไมโครวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร ผลการทดลองพบว่า แหล่งกำเนิดแสงหลอดแบล็คไลท์ความเข้มแสง 270 ไมโครวัตต์สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียทั้ง Bacillus subtilis และ Staphylococcus epidermidis ในอากาศได้ดีที่สุด และมีค่าคงที่อัตราการกำจัดสูงสุดเช่นกัน โดยประสิทธิภาพในการกำจัดเท่ากับร้อยละ 45.93 และ 81.92 ตามลำดับ และค่าคงที่อัตราการกำจัดเท่ากับ 0.0053 นาที⁻¹ และ 0.0258 นาที⁻¹ ตามลำดับ โดยผลการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติของประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียทั้งสอง ในแต่ละความเข้มแสงยูวีของแหล่งกำเนิดแสงทั้งสองชนิด พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 (p=0.000) และเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแผ่นฟอกอากาศโฟโตคะตะไลติก ในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียทั้งสองชนิด พบว่าสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus epidermidis ได้ดีกว่าเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 (p=0.000-0.004)
URL Website cuir.car.chula.ac.th
Chulalongkorn University

บรรณานุกรม

EndNote

APA

Chicago

MLA

ดิจิตอลไฟล์

Digital File #1
DOI Smart-Search
สวัสดีค่ะ ยินดีให้บริการสอบถาม และสืบค้นข้อมูลตัวระบุวัตถุดิจิทัล (ดีโอไอ) สำนักการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ค่ะ