การวิเคราะห์ความหมายแบบครอบคลุมของคำสำคัญทางวัฒนธรรม “ไม่เป็นไร” “เกรงใจ” และ “ขอโทษ”ในภาษาไทยตามแนวทฤษฎีอภิภาษาเชิงอรรถศาสตร์ธรรมชาติ
รหัสดีโอไอ
Title การวิเคราะห์ความหมายแบบครอบคลุมของคำสำคัญทางวัฒนธรรม “ไม่เป็นไร” “เกรงใจ” และ “ขอโทษ”ในภาษาไทยตามแนวทฤษฎีอภิภาษาเชิงอรรถศาสตร์ธรรมชาติ
Creator ทัศนีย์ เมฆถาวรวัฒนา
Contributor อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ์
Publisher จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Publication Year 2554
Keyword ภาษาไทย -- ภาษา, ภาษาไทย -- แง่สังคม, ภาษาไทย -- อรรถศาสตร์, ภาษากับวัฒนธรรม, วัจนปฏิบัติศาสตร์, ความหมาย (จิตวิทยา), ความหมายโดยนัย, ภาษาศาสตร์เชิงสังคมวิทยา
Abstract งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความหมายตรง ความหมายทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ และความหมายทางสังคมของคำสำคัญในภาษาไทย 3 คำได้แก่ ไม่เป็นไร เกรงใจ และ ขอโทษ แล้วแสดงความหมายดังกล่าวในรูปบทวัฒนธรรม พร้อมเปรียบเทียบความเหมือน ความต่าง และลักษณะเด่นทางความหมายของคำสำคัญทั้ง 3 คำ และวิเคราะห์ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมไทยจากบทวัฒนธรรมที่เขียนขึ้น ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยมาจาก 2 แหล่งคือ 1) คลังข้อมูลภาษาไทยบนเวปไซต์ http://ling.arts.chula.ac.th/ThaiConc/ ของภาควิชาภาษาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ 2) การสอบถามผู้บอกภาษาด้วยแบบสอบถาม ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ไม่เป็นไร สื่อความหมายตรงได้ 3 ความหมาย คือ ‘ไม่ได้รับผลกระทบ’ ‘ยอมรับได้’ และ ‘ไม่ต้องกังวล’ สื่อความหมายทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ได้ 4 ความหมาย คือ ปลอบใจ ปฏิเสธ ให้อภัย และตอบรับคำขอบคุณ สื่อความหมายทางสังคมได้ 2 ความหมาย คือ แปรไปตามความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดผู้ฟัง และความเป็นทางการของสถานการณ์การใช้ภาษา โดยพบว่าผู้พูดใช้ ไม่เป็นไร เมื่อพูดกับผู้ฟังที่สนิทสนมมากกว่าผู้ฟังที่ไม่สนิทสนมกัน และเมื่อพูดในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการมากกว่าในสถานการณ์ที่เป็นทางการ คำว่า เกรงใจ สื่อความหมายตรงได้ 3 ความหมาย คือ ‘ยำเกรง’ หรือ ‘เกรงกลัว’ ‘กลัวว่า...จะไม่พอใจ’ และ ‘กลัวว่าอาจเป็นการรบกวน’ สื่อความหมายทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ได้ 3 ความหมาย คือ ตอบรับ ปฏิเสธ และขอบคุณ สื่อความหมายทางสังคมได้ 2 ความหมาย คือ แปรไปตามความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดผู้ฟัง และความเป็นทางการของสถานการณ์การใช้ภาษา โดยพบว่าผู้พูดใช้ เกรงใจ เมื่อพูดกับผู้ฟังที่ไม่สนิทสนมมากกว่าผู้ฟังที่สนิทสนมกัน และเมื่อพูดในสถานการณ์ที่เป็นทางการมากกว่าในสถานการณ์ที่ไม่เเป็นทางการ คำว่า ขอโทษ สื่อความหมายตรงได้ 2 ความหมาย คือ ‘ขอให้ยกโทษให้ในสิ่งที่กระทำไปแล้ว’ และ ‘ขออย่าได้ถือโทษในสิ่งที่กำลังจะกระทำ’ สื่อความหมายทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ได้ 4 ความหมาย คือ รับผิด เกริ่นนำ เรียกความสนใจ และจบการสนทนา สื่อความหมายทางสังคมได้ 2 ความหมาย คือ แปรไปตามความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดผู้ฟัง และความเป็นทางการของสถานการณ์การใช้ภาษา โดยพบว่าผู้พูดใช้ ขอโทษ เมื่อพูดกับทั้งผู้ฟังที่ไม่สนิทสนมและสนิทสนมกัน และเมื่อพูดในสถานการณ์ที่เป็นทางการและในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการโดยเลือกใช้รูปแปรที่แตกต่างกัน บทวัฒนธรรมของคำว่า ไม่เป็นไร มีใจความแก่น คือ “สิ่ง นี้ ไม่ใช่ เรื่อง ใหญ่” และ ‘ฉัน ไม่ ต้องการ ให้ คุณ รู้สึก ไม่ ดี กับ สิ่ง นี้’ ต่างจากบทวัฒนธรรมของคำว่า เกรงใจ ที่มีใจความแก่นคือ “ฉัน รู้สึก ไม่ ดี ที่ คุณ ทำ หรือ จะ ทำ สิ่ง นี้ ให้ ฉัน” และ “ฉัน ไม่ ต้องการ ให้ คุณ รู้สึกไม่ ดี กับ ฉัน” ส่วนบทวัฒนธรรมของคำว่า ขอโทษ มีใจความแก่น “คุณ อาจ รู้สึก ไม่ ดี กับ ฉัน และ / เพราะ สิ่ง นี้” และ “ฉัน ไม่ ต้องการ ให้ คุณ รู้สึก ไม่ ดี” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคำทั้ง 3 คำนี้มีความหมายไปในทำนองเดียวกัน คือ ‘ผู้พูดไม่ต้องการให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ดี’ บทวัฒนธรรมทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นลักษณะเด่นของวัฒนธรรมไทย 4 ประการ คือ 1) การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง 2) การเคารพผู้ใหญ่ 3) การไม่ต้องการรบกวนผู้อื่น และ 4) การปล่อยวาง
URL Website cuir.car.chula.ac.th
Chulalongkorn University

บรรณานุกรม

EndNote

APA

Chicago

MLA

ดิจิตอลไฟล์

Digital File #1
DOI Smart-Search
สวัสดีค่ะ ยินดีให้บริการสอบถาม และสืบค้นข้อมูลตัวระบุวัตถุดิจิทัล (ดีโอไอ) สำนักการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ค่ะ