![]() |
ประสิทธิผลของระบบเติมยาสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในหน่วยบริการ ปฐมภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ : การวิเคราะห์คะแนนความโน้มเอียง |
---|---|
รหัสดีโอไอ | |
Creator | ทรรศนะ ธรรมรส |
Title | ประสิทธิผลของระบบเติมยาสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในหน่วยบริการ ปฐมภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ : การวิเคราะห์คะแนนความโน้มเอียง |
Publisher | กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค |
Publication Year | 2567 |
Journal Title | วารสารควบคุมโรค |
Journal Vol. | 50 |
Journal No. | 4 |
Page no. | 647-654 |
Keyword | ระบบเติมยา, ความดันโลหิตสูง, หน่วยบริการปฐมภูมิ |
URL Website | https://www.tci-thaijo.org/index.php/DCJ |
Website title | เว็บไซต์วารสารควบคุมโรค |
ISSN | 2651-1649 |
Abstract | การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของระบบการเติมยาสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ทำการศึกษาโดยการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2566 จำนวน 500 ราย ผู้ป่วยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับบริการแบบปกติ และกลุ่มที่ได้รับบริการเติมยา ทำการควบคุมปัจจัยกวนด้วยการจับคู่คะแนนความโน้มเอียงด้วยวิธีเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุด สถิติเชิงพรรณนาใช้เพื่อแสดงจำนวนและร้อยละของข้อมูลทางประชากร สถานะสุขภาพ และพฤติกรรมเสี่ยง การทดสอบไคสแควร์ใช้เพื่อทดสอบความแตกต่างของตัวแปรจัดกลุ่ม การวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติกทวินามเชิงเดี่ยวและเชิงพหุ กำหนดระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value<0.05 ผลการวิเคราะห์คะแนนความโน้มเอียง ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบมาตรฐานหรือแบบเติมยา สามารถจับคู่วิเคราะห์ได้ 188 คู่ การวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติกทวินามพบว่า การรับบริการเติมยา การควบคุมความดันไม่ได้ก่อนเข้ารับบริการ และการดื่มแอลกอฮอล์ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ โดยมี Odds ratio เท่ากับ 1.61, 1.59 และ 1.70 ตามลำดับ (p-value=0.03, 0.04 และ 0.03) อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติกทวินามเชิงพหุ ไม่พบตัวแปรที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ดังนั้นสรุปได้ว่าระบบการเติมยาสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในหน่วยบริการปฐมภูมิ มีประสิทธิผลในการควบคุมความดันโลหิตไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการรักษาแบบปกติ แต่มีแนวโน้มควบคุมความดันโลหิตไม่ได้มากกว่า การพัฒนาระบบเติมยาเพิ่มเติมอาจช่วยเพิ่มประสิทธิผลได้ การศึกษาครั้งต่อไปควรมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงกระบวนการวัดความดันโลหิตและการบันทึกค่าความดันโลหิตที่ถูกต้องและแม่นยำ เพื่อลดความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น |