![]() |
การพัฒนาทักษะการเป่าแคนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการปฏิบัติประกอบแบบฝึกทักษะ: กรณีศึกษานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านคําสมอ (ศรีศึกษา) อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี |
---|---|
รหัสดีโอไอ | |
Creator | ภาณุพงศ์ ธงศรี |
Title | การพัฒนาทักษะการเป่าแคนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการปฏิบัติประกอบแบบฝึกทักษะ: กรณีศึกษานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านคําสมอ (ศรีศึกษา) อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี |
Publisher | The Office of Arts and Culture, Surindra Rajabhat University |
Publication Year | 2566 |
Journal Title | วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล |
Journal Vol. | 12 |
Journal No. | 1 |
Page no. | 29-38 |
Keyword | ทักษะการเป่าแคน, กระบวนการปฏิบัติ, แบบฝึกทักษะ |
URL Website | https://so07.tci-thaijo.org/index.php/acj |
Website title | วารสารศิลปะและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล |
ISSN | ISSN 2822 - 0617 (Online);ISSN 2822 - 1141 (Print) |
Abstract | การพัฒนาทักษะการเป่าแคนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการปฏิบัติประกอบแบบฝึกทักษะก่อให้เกิดประโยชน์ในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและส่งเสริมความสามารถของผู้เรียนในการเป่าแคน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการเป่าแคนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการปฏิบัติประกอบแบบฝึกทักษะให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/ 80 2) เปรียบเทียบทักษะการเป่าแคนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการปฏิบัติประกอบแบบฝึกทักษะให้มากกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านคำสมอ (ศรีศึกษา) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 9 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบฝึกทักษะ และ 3) แบบประเมินทักษะการเป่าแคน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเป่าแคน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการปฏิบัติประกอบแบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.22/ 80.78 2) ทักษะการเป่าแคนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการปฏิบัติประกอบแบบฝึกทักษะของผู้เรียน เท่ากับ 80.78 สูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 |